กรมอนามัยแนะวิธีเลือก ปาท่องโก๋ เลี่ยงซื้อที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ชี้อาจเสี่ยงมะเร็ง ที่ด้านคอมเมนต์ถกสนั่น งงร้านไหนจะใช้น้ำมันใหม่ตลอด

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
จากกรณีที่เว็บไซต์ TasteAtlas จัดอับดับอาหารท้องถิ่นทั่วโลก และประกาศให้ปาท่องโก๋ เป็นอันดับ 5 ของหวานสตรีตฟู้ดที่ดีที่สุดของโลก รวมถึงจัดอันดับเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อย่างชาไทย ชาเย็น หรือชาสีส้ม ติดอันดับ 7 เครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดในโลก
วันที่ 2 มีนาคม 2566 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปาท่องโก๋ นอกจากจะติดอันดับของหวานสตรีตฟู้ดแล้ว ยังเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย ในหมวดกลุ่มเบเกอรี่และอาหารว่าง แต่สำหรับคุณค่าทางโภชนาการ พบว่า ปาท่องโก๋ 100 กรัม ให้พลังงานถึง 441 กิโลแคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 40.56 กรัม ไขมัน 27.79 กรัม ปาท่องโก๋ 1 คู่ขนาดกลาง จะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม จึงให้พลังงานประมาณ 132 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม ไขมัน 8 กรัม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ปาท่องโก๋เป็นขนมที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันอิ่มตัว รวมทั้งให้พลังงานสูง เหมาะผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงาน แต่ก็มีโซเดียมจากผงฟูหรือเกลือปรุงรสสูงด้วย จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ และโรคความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ ปาท่องโก๋ส่วนใหญ่จะนิยมใช้น้ำมันทอดซ้ำ ซึ่งก่อให้เกิดสารโพลาร์ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง ดังนั้น วิธีกินปาท่องโก๋แบบไม่อ้วนและครบถ้วนคุณค่า จึงควรเลือกปาท่องโก๋ที่ใช้น้ำมันใหม่ในการทอด สังเกตได้จากสีที่เป็นน้ำตาลอ่อน และไม่ควรกินเกิน 2 คู่ต่อวัน อาจกินพร้อมโจ๊ก ไข่ต้ม เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีน หรือ กินกับผลไม้ไม่หวานจัด น้ำเต้าหู้ชนิดไม่หวาน เพิ่มธัญพืช เช่น ถั่วแดง เม็ดแมงลัก ข้าวบาร์เล่ย์ หรือลูกเดือย เพื่อเพิ่มใยอาหารช่วยดักจับไขมัน และเลี่ยงการกินปาท่องโก๋แบบจิ้มกับดิปปิ้งอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบคอมเมนต์เกี่ยวกับข่าวดังกล่าว มีผู้แสดงความคิดเห็นหลากหลายมุม บ้างมองว่าในทางปฏิบัติคงเป็นเรื่องยากที่ร้านไหนจะเปลี่ยนน้ำมันทอดตลอดเพราะต้นทุนมีราคาแพง บางส่วนตอบกลับทำนองว่า เมนูไหนที่กำลังถูกพูดถึงในระดับโลก และกำลังมียอดขายที่ดี จู่ ๆ พอโดนข้อมูลแบบนี้ก็อาจทำให้เสียหายได้
ขณะที่อีกหลายคอมเมนต์มองว่า ไม่ควรจะไปด่าหมอที่เตือนเรื่องนี้ เพราะการที่ผู้บริโภครับข้อมูลแบบนี้ไว้เป็นเรื่องที่ดี และอาจช่วยให้บางครั้งหลีกเลี่ยงกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ส่วนใครที่ไม่สนใจก็อาจต้องรับความเสี่ยงเอาเอง เป็นต้น







ขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
Comments